โดยธรรมชาติของคน ที่ “เวลา” สอนให้เรารู้จัก “เลียแผล” ตัวเอง
ไม่มีใครปลอบใจตัวเราได้ดี อีกแล้วเท่ากับตัวเราเอง
ไม่มีใครจะหันมารักเราได้มากอีกแล้วเท่ากับการที่เราหันกลับมารักตัวเองให้มาก ๆ
การ รักตัวเองให้มาก ๆ ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกค่ะ หากเราไม่รักจนกระทั่ง “เห็นแก่ตัว”
คิดว่าที่เรายังยืนอยู่กัน ได้แม้จะผ่านสังเวียน “อกหัก” "ผิดหวัง" มาทั้งเรื่องครอบครัว การงาน ความรัก หรือแม้แต่ความฝันก็ตาม ส่วนหนึ่งเพราะว่าเรายังมี “ศรัทธา” ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไงล่ะค่ะ
ไอ้คำว่า “ศรัทธา” นี่แหละที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราเชื่อว่า
“ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ”
เคยดูโฆษณาที่ท่าน ว.วชิรเมธี ออกมาให้สติกันหรือเปล่าครับว่า “เมื่อเราหยุดนิ่งถึงที่สุดแล้ว เราจะรู้สึกว่าใจของเราหล่นไปยังจุดที่ลึกที่สุด และเมื่อถึงจุดนั้นแล้วเราจะได้ยินเสียงตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันจริง ๆ”
การ หยุดนิ่งนี้เองแหละที่ทำให้ “สติมา” และ “ปัญญาจึงเกิด” เมื่อเรามีปัญญาแล้วการมองปัญหามันก็จะละเอียดมากขึ้นและการแก้ปัญหาก็จะ เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ
ไอ้การอยู่อย่าง “เป็นสุข” นั้นมันสำคัญต่อการใช้ชีวิตจริง ๆ
ไอ้ การ “คิดบวก” นั้นมันสำคัญจริง ๆ ในห้วงยามที่ชีวิตรู้สึกว่ามีปัญหาหรือมีเรื่องกวนใจเข้ามารุมเร้า
ไอ้การ “ปล่อยวาง” หรือ “ปลง” ให้เป็น มันสำคัญจริง ๆ หากปัญหาที่เราเผชิญอยู่มันอยู่เหนือการควบคุมหรือสติปัญญาที่เราจะเข้าไป แก้ไขได้
และท้ายที่สุด ไอ้การ “รักตัวเองให้เป็น” เนี่ย มันยิ่งสำคัญมากที่สุดนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เรา “อกหัก” "ผิดหวัง" กับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ
เวลาอกหักหรือผิดหวัง หากคุณไม่รู้จะไปกอดใคร ลองกอดตัวเองให้แน่น ๆ ดู (กอดแบบไม่ทำให้คุณต้องอึดอัด) แล้วคุณจะรู้สึกรักตัวเองขึ้นเยอะเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น